jojho

อ้วนทำลายกระดูก

วิจัยพบ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินบางคนมีไขมันเข้าไปแทรกอยู่ในกระดูก เป็นเหตุให้กระดูกเปราะและบาง ขณะที่ในอดีตมีความคิดที่ว่าความอ้วนช่วยป้องกันกระดูก ซึ่งความจริงแล้วเป็นความคิดที่ผิด นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดของอเมริกา พบในการศึกษาว่า ไขมันของผู้ที่น้ำหนักเกินบางคนได้แทรกเข้าไปฝังอยู่ในกระดูก  เป็นเหตุให้กระดูกเปราะและบอบบาง พวกเขาได้ค้นพบจากการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ชายหญิงที่อ้วนแต่แข็งแรงจำนวน 106 คน นอกจากนั้นยังพบว่าในบางคน ไขมันยังได้ไปฝังอยู่ตามตับ กล้ามเนื้อ ไขกระดูก นอกจากแถวพุง สะโพกและต้นขาก่อนแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีรูปร่างรอบเอวใหญ่กว่ารอบสะโพก จะเสี่ยงต่อโรคมากกว่าเพื่อน ส่วนภัยของไขมันที่เข้าไปแย่งที่อยู่ของไขกระดูกนั้นก็นับว่าร้ายแรง ด้วยเหตุไขกระดูก ซึ่งเซลล์สร้างกระดูกใหม่ขึ้น เมื่อถูกโดนแย่งที่มากขึ้น ก็จะมีผลทำให้กระดูกอ่อนแอ “ถ้าหากไขสันหลังใครเต็มไปด้วยไขมัน มันก็คงจะไม่แข็งแรง” หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า “เคยพูดกันว่า ความอ้วนช่วยปกป้องกระดูกไม่ให้เสียความหนาแน่น แต่เราพบว่าไม่จริง เพราะพบว่าผู้ที่กระดูกเปราะบาง เป็นเพราะถูกไขมันแย่งที่ของไขกระดูกออกไปมากกว่า”     ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ผลวิจัยชี้ เดินหลังมื้ออาหารลดเสี่ยงเป็นเบาหวาน

ค่เพียงการออกกำลังกายแต่เพียง 15 นาทีหลังอาหารทุกมื้อ ก็ทำให้สุขภาพของเราดี ลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานได้   นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย จอร์จ วอชิงตัน เปิดเผยว่า การเดินเพียง 15 นาทีหลังอาหาร 3 มื้อ มีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้สูงอายุลดลง และการเดินระยะสั้น 15 นาที หลังอาหาร 3 มื้อ มีประสิทธิภาพพอๆ กันกับการเดินระยะยาว 45 นาที เพราะการเดินหลังอาหารจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลที่เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อได้ โดยผลวิจัยดังกล่าว ทดสอบจากผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป 10 คน ทั้งนี้ นักวิจัยยังระบุด้วยว่า การลดน้ำหนัก และการออกกำลังกาย ต่างเป็นวีธีการที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โดยโรคเบาหวานเกิดจากร่างกายผลิตสารอินซูลินไม่เพียงพอต่อระบบการทำงาน หรือเซลล์ในร่างกายของผู้ป่วยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารอินซูลิน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายต่อการลดความเสี่ยงของการเป็นเบาหวาน เนื่องจากปัจจุบันมีชาวอังกฤษเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานสูงถึง 7 ล้านคน โดยยังคงต้องมีการศึกษาวิจัยในกลุ่มตัวอย่างที่มากกว่านี้เพื่อความแม่นยำ และนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป   […]

สูบบุหรี่ : สูญชีวิต สูญเงิน

1 ใน 5  ของวัยรุ่นทั่วโลก ติดบุหรี่ 7 นาที  สูบบุหรี่ 1 มวน อายุสั้นลง 7 นาที 8 หมื่น – 1 แสน ทั่วโลกมีวัยรุ่นใหม่ติดบุหรี่ ติดบุหรี่วันละ 8 หมื่น ถึง 1 แสนคน 10 ชนิด บุหรี่ เป็นสาเหตุของมะเร็งในมนุษย์ 10 ชนิด 10 – 12 ปี อายุขัยเฉลี่ยของผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ จะสั้นลง 10 – 12 ปี 13 ล้านคน คนไทยทั่วประเทศ สูบบุหรี่ประมาณ 13 ล้านคน 70 ล้านคน ควันบุหรี่ประกอบด้วยสารก่อมะเร็งมากกว่า 70 ชนิด 15,000 บาท ถ้าไม่ซื้อบุหรี่ แต่ละคนจะมีเงินเพิ่ม 15,000 บาทต่อปี ครึ่งหนึ่งของคนที่สูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง จะเสียชีวิตด้วยโรคจากการสูบบุหรี่ โดยเฉลี่ยคน […]

รองเท้าส้นสูง ยิ่งสูง ยิ่งเสีย

ผลเสียที่กระทบต่อสุขภาพ และโครงสร้างของร่างกาย อันเกิดจากการสวมใสรองเท้าส้นสูง อาจมีมาเกินกว่าที่เราเคยทราบกันนะคะสาวๆ ไปดูจากภาพต่อไปนี้กันเลย ผลเสียที่เกิดขึ้นคือ 1. ท่วงท่าการเดิน ด้วยรองเท้าส้นสูง ทำให้เกิดแรงกดที่ข้อหัวเข่า ส่งผลให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้หญิง 2. แรงกดรัดของสายรัดรองเท้าด้านหลัง อาจทำให้กระดูกส้นเท้าผิดรูป 3. เวลาเดินบนรองเท้าส้นสูง ร่างกายจะพยายามรักษา ท่าทางให้สมดุล ในการก้าวเท้า หากไม่ระมัดระวัง อาจทำให้ข้อเท้าพลิกและบาดเจ็บได้ 4. องศา ความสูงของรองเท้า ทำให้กล้ามเนื้อน่อง และเอ็นร้อยหวาย มีการเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการปวดน่อง และอาจเป็นตะคริวเพราะการยืนบนรองเท้าส้นสูงนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อน่องต้องทำงานหนักขึ้น 5. หน้ารองเท้า ที่แคบ แหลม จะบีบรัด กระดูกหน้าและหัวแม่เท้าทำให้หัวแม่เท้าวางตัวผิดรูป เช่น นิ้วหัวแม่เท้าเบี่ยง นิ้วเท้างอ กระดูกนิ้วคดงอตามความแคบ ข้อต่อนิ้วเท้ารับแรงกดมากเกินไป ส่งผลต่อรูปเท้าและมีผลต่อการเดินปกติ 6. การใส่รองเท้าส้นสูง ทำให้ท่าทางเวลาเดิน หรือยืน ผิดปกติ เช่น การเดินเขย่ง เดินแบบย่อเข่า หลังแอ่น ลำตัวงอ และท่าทางที่ผิดธรรมชาตินี้ ก่อให้เกิดแรงกดของน้ำหนักลงมาที่ฝ่าเท้าด้านหน้ามากกว่าส้นเท้า จึงทำให้รู้สึกเมื่อยและปวดหลังตามมา […]

8 สารอาหารบรรเทาปวดไขข้อ

8 สารอาหารบรรเทาปวดไขข้อ         มีข้อมูลว่าอาหารบางชนิดช่วยลดความเสี่ยงหรือการอักเสบของโรครูมาตอยด์ได้หากกินเป็นประจำ          กรดโอเมกา-3 มีผลต้านการอักเสบในร่างกาย โอเมกา-3 ที่ได้จากอาหารทะเลมีกรดอีพีเอ (EPA = eicsapentaanoic) และดีเอชเอ ซึ่งลดการอักเสบของไขข้อ ผลวิจัยพบว่าการเพิ่มกรดโอเมกา-3 ในอาหาร มีผลโดยตรงในการลดซี–รีแอคทีฟโปรตีนซึ่งกระตุ้นการอักเสบ อาหารที่มีกรดโอเมกา-3 สูง ได้แก่ ปลาทะเล (แซลมอน ทูน่า เทร้าส์ แมคเคอเรล) วอลนัท เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง แฟลกซ์สีด น้ำมันจากเมล็ดแฟลกซ์สีด และน้ำมันคาโนลา น้ำมันปลา การวิจัยชี้ให้เห็นว่า น้ำมันปลาช่วยลดอาการปวดไขข้อและลดปริมาณการใช้ยาต้านการอักเสบได้ แต่อาจจะต้องกินติดติอกันประมาณ 3-4 สัปดาห์จึงจะเห็นผล มีคำเตือนว่าน้ำมันปลาอาจมีระดับวิตามินเอหรือสารปรอทสูงจึงควรปรึกษาแพทย์          สารฟลาโวนอยด์ ช่วยต้านเชื้อไวรัส ต้านการอักเสบ และลดการเกิดโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ไขข้อ […]

การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นสาเหตุซ่อนเร้นที่ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่ลง

การอักเสบเรื้อรัง สาเหตุซ่อนเร้นทำให้คุณลดน้ำหนักไม่ลง (Chronic Inflammation : Hidden Cause Of Your Weight Problem) หลายๆ คนคงเคยเจอกับปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน พยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ลง ทั้งออกกำลังกายก็แล้ว ควบคุมอาหาร จำกัดแคลอรีก็แล้ว รู้สึกเป็นการยากแค่จะเอาน้ำหนักตัวที่เกินลง 2-3 กิโลก็หืดขึ้นคอแล้ว ถ้าคุณผู้อ่านเจอปัญหานี้อย่าเพิ่งท้อใจครับ เพราะความจริงก็คือการลดน้ำหนักไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย แต่ยังมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีอาจเป็นสาเหตุที่ซ่อนเร้นที่ทำให้เราไม่ได้ตระหนักถึง จึงลดน้ำหนักไม่ประสบความสำเร็จซักที การอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation) เรื่องการอักเสบ ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ หลายๆ คนคงเคยเดินสะดุดหกล้มเป็นแผล ลองนึกภาพดูนะครับ ตอนนั้นเราจะมีอาการปวด แผลบวมแดง จับดูจะรู้สึกร้อนนิดๆเวลาผ่านไปสักระยะอาการเหล่านี้ลดลงพร้อมๆ กับแผลก็เริ่มหาย อันนี้เราเรียกว่า 'กระบวนการอักเสบแบบเฉียบพลัน' ซึ่งช่วยการหายของแผล กำจัดเชื้อโรค เป็นผลดีกับร่างกาย ในทางตรงข้ามการอักเสบเรื้อรังนั้นกลับไม่มีประโยชน์ ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน อัลไซเมอร์ หรือแม้แต่มะเร็ง นักวิจัยพบว่าการอักเสบเรื้อรังเป็นผลมาจากอาหารแบบ SAD (Standard American Diet) ที่กินแล้วเศร้าเลยล่ะครับ […]

5 ท่ายืดเหยียดแก้ปวดคอเรื้อรัง

ผลจากโรคขยันทำงานโดยไม่เปลี่ยนท่า ชาวมนุษย์ออฟฟิศจึงถูกโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังรุมเร้า ทำให้รู้สึกปวดและกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อคอตลอดเวลา นายแพทย์ลิขิต รักษ์พลเมือง จากภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล จึงแนะนำท่าบริหารที่ควรทำเป็นประจำ เพื่อคลายอาการปวดกล้ามเนื้อคอ โดยหันหน้าตรงเป็นท่าเตรียม แล้วทำตามท่าต่อไปนี้ …  ท่าที่ 1 หันศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ โดยใช้มือขวาช่วยดันใบหน้าให้ค้างไว้ นับ 1-10 กลับสู่ท่าเตรียม สลับทำด้านขวาอีกหนึ่งครั้ง   ท่าที่ 2 ก้มศีรษะลงช้าๆ ให้คางชิดอกมากที่สุด นับ 1-10 กลับสู่ท่าเตรียม ทำหนึ่งครั้ง   ท่าที่ 3 เงยศีรษะขึ้นช้าๆ ทิ้งศีรษะไปทางด้านหลังให้มากที่สุด นับ 1-10 กลับสู่ท่าเตรียม ทำหนึ่งครั้ง   ท่าที่ 4 เอียงศีรษะไปทางด้านซ้าย โดยใช้มือซ้ายช่วยกดให้ศีรษะชิดไหล่มากที่สุด นับ 1-10 กลับสู่ท่าเตรียม สลับทำด้านขวาอีกหนึ่งครั้ง   ท่าที่ 5 หันหน้าไปทางด้านซ้าย 45 องศา โดยใช้มือขวาช่วยดันใบหน้าค้างไว้ […]

แกว่งแขนกายบริหารแบบง่ายๆช่วยบำบัดโรค

 นับเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้เรามีสุขภาพกายและใจดี และประการสำคัญซึ่งเป็นยอดปรารถนาของผู้หญิงก็คือ ช่วยให้ทรวดทรงได้สัดส่วน หากแต่เชื่อได้เลยว่าทุกวันนี้คุณสาวๆ คงไม่ค่อยจะมีเวลาไปออกกำลังกายนัก หรือไม่ก็อาจจะทำงานติดพันจนพลอยขี้เกียจออกกำลังกายไปเลย… คราวนี้เราเลยขอนำเสนอการบริหารกายพื้นฐานง่ายๆ ด้วยการแกว่งแขนซึ่งสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังสามารถรักษาโรคได้ด้วย วิธีกายบริหารด้วยการแกว่งแขนนี้ นำมาจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ) ชื่อว่า คัมภีร์ ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง ซึ่งนับเป็นวิธีออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพและขจัดโรคภัย ปฏิบัติได้ง่าย แต่ให้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์! การแกว่งแขนนี้เป็นการแกว่งให้เลือดลมเดินได้สะดวก และปรับสภาพเส้นเอ็น โดยจะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิต ไต ตับ อัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนไม่หลับ โรคโลหิต ถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ แทบทุกโรคที่เกิดจากการเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ และเลือดลมที่เดินไม่สะดวกทั้งสิ้น การแกว่งแขนจะทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้นตามลำดับ และชีพจรก็จะเต้นได้สม่ำเสมอ นับเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายมากทั้งยังให้ผลเกินคาด เพียงแต่ผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันและอดทนปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สามารถทำได้ทุกที่ หากแต่ถ้าจะทำในที่โล่งได้ก็จะดีมากเพราะจะได้อากาศบริสุทธิ์ ยิ่งยืนบนหญ้าก็จะได้แร่ธาตุจากดินจากน้ำค้างด้วย มาดูวิธีการปฏิบัติกันเลยค่ะ…  1. ยืนตรง เท้าสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับหัวไหล่  2. ปล่อยมือสองข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง […]

นอนผิดท่าอาจทำให้เกิดโรคได้

ถึงแม้การนอนจะมีความสำคัญมาก แต่การนอนในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี นอนในสถานการณ์ที่ไม่ควรนอน หรือ ท่านอน ที่ไม่เหมาะสมกับสุขภาพของบุคคลผู้นั้น อาจทำให้เป็นโรคหรือผู้ที่เป็นโรคอยู่แล้วอาจทำให้สูญเสียชีวิตจากท่านอนที่ผิดได้  1. นอนในท่านั่ง  อุบัติเหตุทางรถยนต์หลาย ๆ รายเกิดจากการที่คนขับหลับใน ในเวลาที่นั่งขับรถอยู่ นอกจากนี้การนั่งหลับในรถเมล์ มักจะทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปทั่วร่างกาย เนื่องจากร่างกายยังอยู่ในสภาพต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก อาการที่พบบ่อยคือปวดคอ กระดูกคอเคลื่อนเมื่อรถหยุดกะทันหัน ปวดหลัง มือชา ขาชา มือบวม ขาบวม และปวดข้อเข่า ปวดหัว มึนศีรษะ เมารถ และมีบางรายหน้ามืด เป็นลมได้ เพราะนอกจากเลือดจะสูบฉีดขึ้นสมองไม่พอแล้วในบรรดารถปรับอากาศประจำทาง อากาศที่มาจากช่องลมไม่บริสุทธิ์ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไกลควรมีปลอกคอค้ำไว้ หรือเอาผ้าพันคออย่างหนา เช่น ผ้าขนหนูพันรอบคอไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยไม่ให้คอตก และถูกกระชากเวลานอนหลับแล้วยังรักษาความอบอุ่นของร่างกายได้ ควรใส่ถุงน่องรัดขาไว้เพื่อให้เลือดคั่งที่ขาน้อยลง ในกรณีที่ปรับที่นั่งให้เอนลงได้ ควรยกขาขึ้นไม่ให้ห้อยลงตลอดเวลา  ปัจจุบันเกือบเป็นปกติวิสัยที่คนเรามักเฝ้าดูโทรทัศน์จนหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง ทำให้เกิดอาการปวดต้นคอ ปวดหลัง และเจ็บก้นกบได้ อีกกรณีที่พบบ่อยคือคนเมาเหล้ามักจะนอนหลับไปขณะนั่งอยู่ และแขนอาจจะห้อยลงจากพนักพิงของเก้าอี้ โดยที่รักแร้วางทับอยู่กับสันของพนักเก้าอี้นั้น พอตื่นนอนพบว่าแขนข้างนั้นชาจนไม่มีความรู้สึก และบางครั้งก็ยกแขนไม่ขึ้นเป็นเวลานานหลายวัน เพราะกดถูกหลอดเลือดและเส้นประสาทใต้รักแร้ ทำให้แขนขางนั้นอ่อนแรงลง และสูญเสียความรู้สึกไป ในรายที่รุนแรงมากอาจเป็นอัมพาตของแขนข้างนั้นไปเลย […]

5 ท่า 5 วัน แก้ออฟฟิศ ซินโดรม

เพื่อจะให้คนทำงานทุกคนรู้จักรับมือกับอาการปวดเมื่อยได้อย่างทันท่วงที ผลิตภัณฑ์นูโรเฟน จัดงาน "เพนคิลเลอร์ มิวเซียม" พิพิธภัณฑ์วิวัฒนาการการบรรเทาความปวดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวบรวมวิธีการรักษาความปวดของมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อมาเป็นต้นฉบับในการรักษาอาการปวดเมื่อยให้คนไทย พร้อมกันนี้ ผศ.นายแพทย์ วิศาล คันธารัตนกุล หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ได้มาเผยท่ากายบริหาร เพื่อรักษาอาการออฟฟิศ ซินโดรมด้วยตัวเองง่ายๆ 5 ท่า สำหรับ 5 วัน เริ่มจากเช้าวันจันทร์ ผศ.วิศาล แนะนำให้เหยียดกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และไหล่ โดยใช้มือไพล่ไว้ทางด้านหลัง เน้นให้เคลื่อนไหวมากกว่าเกร็งค้าง จะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดตัวได้ ขณะที่วันอังคาร ให้นั่งหลังตรง ใช้มือทั้งสองข้างจับข้อศอกของอีกข้างไว้ เหยียดกล้ามเนื้อข้างลำตัวสลับด้านกัน อาจใช้หนังสือหนาประมาณ 5 นิ้ว รองไว้ใต้ที่นั่งได้ ท่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งโต๊ะทำงานนานๆ เมื่อออกกำลังแล้วจะช่วยให้สบายมากขึ้น ต่อกันที่วันพุธ ช่วยบริหารมือให้กับคนที่ต้องใช้คีย์บอร์ดหรือใช้เมาส์นานๆ โดยการใช้มือทั้งสองข้างคล้องไว้ด้วยกัน และเหยียดข้อมือไปทั้งแขน จากนั้นปล่อยมือจากกัน กำมือเข้าออก แบมือขึ้นลง และขยับมือซ้ายขวา นายแพทย์วิศาลเผยว่า สำหรับวันพฤหัสบดี ให้ยืนขึ้น นำขาเหยียดพาดไว้กับเก้าอี้ ให้ตึงทั้งกล้ามเนื้อต้นขา […]

1 7 8 9 10 11 14