เกร็ดความรู้

ใช้โทรศัพท์มาก สุขภาพไม่แข็งแรง

นักวิทย์ฯ สหรัฐเผย ผู้ที่ใช้มือถือหนักอยู่ตลอดเวลา มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ใช้มือถือ เนื่องจากคนที่ใช้มากไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย นักวิทยาศาสตร์ คณะการศึกษาสาธารณสุขและบริการมนุษย์ ของมหาวิทยาลัยเคนส์ สเตทแห่งสหรัฐฯ พบว่าผู้ที่ตัวติดอยู่กับการใช้โทรศัพท์มือถือมาก จะด้อยความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายลงไป พวกเขาเห็นว่า โทรศัพท์มือถือซึ่งมีขนาดเล็กพกพาได้ น่าจะส่งเสริมการออกกำลังให้ง่ายขึ้น แต่จากการศึกษากับนักศึกษามหาวิทยาลัย 300 กว่าคน กลับได้ผลว่า ผู้ที่ใช้หนักกลับไม่ค่อยได้ออกกำลัง ผู้ที่พูดโทรศัพท์มากถึงวันละ 14 ชม. จะแข็งแรงสู้ผู้ที่ใช้โดยเฉพาะวันละไม่เกิน 90 นาทีไม่ได้ นักวิจัยผู้หนึ่งกล่าวว่า อาจจะวัดจากการใช้โทรศัพท์ รู้ถึงความแข็งแรงสมบูรณ์ของเจ้าของได้ โดยเฉพาะการล่อแหลมกับโรค เนื่องจากการขาดการออกกำลังกายนั่นเอง     ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นสาเหตุซ่อนเร้นที่ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่ลง

การอักเสบเรื้อรัง สาเหตุซ่อนเร้นทำให้คุณลดน้ำหนักไม่ลง (Chronic Inflammation : Hidden Cause Of Your Weight Problem) หลายๆ คนคงเคยเจอกับปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน พยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ลง ทั้งออกกำลังกายก็แล้ว ควบคุมอาหาร จำกัดแคลอรีก็แล้ว รู้สึกเป็นการยากแค่จะเอาน้ำหนักตัวที่เกินลง 2-3 กิโลก็หืดขึ้นคอแล้ว ถ้าคุณผู้อ่านเจอปัญหานี้อย่าเพิ่งท้อใจครับ เพราะความจริงก็คือการลดน้ำหนักไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย แต่ยังมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีอาจเป็นสาเหตุที่ซ่อนเร้นที่ทำให้เราไม่ได้ตระหนักถึง จึงลดน้ำหนักไม่ประสบความสำเร็จซักที การอักเสบเรื้อรัง (Chronic inflammation) เรื่องการอักเสบ ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ หลายๆ คนคงเคยเดินสะดุดหกล้มเป็นแผล ลองนึกภาพดูนะครับ ตอนนั้นเราจะมีอาการปวด แผลบวมแดง จับดูจะรู้สึกร้อนนิดๆเวลาผ่านไปสักระยะอาการเหล่านี้ลดลงพร้อมๆ กับแผลก็เริ่มหาย อันนี้เราเรียกว่า 'กระบวนการอักเสบแบบเฉียบพลัน' ซึ่งช่วยการหายของแผล กำจัดเชื้อโรค เป็นผลดีกับร่างกาย ในทางตรงข้ามการอักเสบเรื้อรังนั้นกลับไม่มีประโยชน์ ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน อัลไซเมอร์ หรือแม้แต่มะเร็ง นักวิจัยพบว่าการอักเสบเรื้อรังเป็นผลมาจากอาหารแบบ SAD (Standard American Diet) ที่กินแล้วเศร้าเลยล่ะครับ […]

นอนผิดท่าอาจทำให้เกิดโรคได้

ถึงแม้การนอนจะมีความสำคัญมาก แต่การนอนในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี นอนในสถานการณ์ที่ไม่ควรนอน หรือ ท่านอน ที่ไม่เหมาะสมกับสุขภาพของบุคคลผู้นั้น อาจทำให้เป็นโรคหรือผู้ที่เป็นโรคอยู่แล้วอาจทำให้สูญเสียชีวิตจากท่านอนที่ผิดได้  1. นอนในท่านั่ง  อุบัติเหตุทางรถยนต์หลาย ๆ รายเกิดจากการที่คนขับหลับใน ในเวลาที่นั่งขับรถอยู่ นอกจากนี้การนั่งหลับในรถเมล์ มักจะทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปทั่วร่างกาย เนื่องจากร่างกายยังอยู่ในสภาพต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก อาการที่พบบ่อยคือปวดคอ กระดูกคอเคลื่อนเมื่อรถหยุดกะทันหัน ปวดหลัง มือชา ขาชา มือบวม ขาบวม และปวดข้อเข่า ปวดหัว มึนศีรษะ เมารถ และมีบางรายหน้ามืด เป็นลมได้ เพราะนอกจากเลือดจะสูบฉีดขึ้นสมองไม่พอแล้วในบรรดารถปรับอากาศประจำทาง อากาศที่มาจากช่องลมไม่บริสุทธิ์ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไกลควรมีปลอกคอค้ำไว้ หรือเอาผ้าพันคออย่างหนา เช่น ผ้าขนหนูพันรอบคอไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยไม่ให้คอตก และถูกกระชากเวลานอนหลับแล้วยังรักษาความอบอุ่นของร่างกายได้ ควรใส่ถุงน่องรัดขาไว้เพื่อให้เลือดคั่งที่ขาน้อยลง ในกรณีที่ปรับที่นั่งให้เอนลงได้ ควรยกขาขึ้นไม่ให้ห้อยลงตลอดเวลา  ปัจจุบันเกือบเป็นปกติวิสัยที่คนเรามักเฝ้าดูโทรทัศน์จนหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง ทำให้เกิดอาการปวดต้นคอ ปวดหลัง และเจ็บก้นกบได้ อีกกรณีที่พบบ่อยคือคนเมาเหล้ามักจะนอนหลับไปขณะนั่งอยู่ และแขนอาจจะห้อยลงจากพนักพิงของเก้าอี้ โดยที่รักแร้วางทับอยู่กับสันของพนักเก้าอี้นั้น พอตื่นนอนพบว่าแขนข้างนั้นชาจนไม่มีความรู้สึก และบางครั้งก็ยกแขนไม่ขึ้นเป็นเวลานานหลายวัน เพราะกดถูกหลอดเลือดและเส้นประสาทใต้รักแร้ ทำให้แขนขางนั้นอ่อนแรงลง และสูญเสียความรู้สึกไป ในรายที่รุนแรงมากอาจเป็นอัมพาตของแขนข้างนั้นไปเลย […]

5 ท่า 5 วัน แก้ออฟฟิศ ซินโดรม

เพื่อจะให้คนทำงานทุกคนรู้จักรับมือกับอาการปวดเมื่อยได้อย่างทันท่วงที ผลิตภัณฑ์นูโรเฟน จัดงาน "เพนคิลเลอร์ มิวเซียม" พิพิธภัณฑ์วิวัฒนาการการบรรเทาความปวดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวบรวมวิธีการรักษาความปวดของมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อมาเป็นต้นฉบับในการรักษาอาการปวดเมื่อยให้คนไทย พร้อมกันนี้ ผศ.นายแพทย์ วิศาล คันธารัตนกุล หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ได้มาเผยท่ากายบริหาร เพื่อรักษาอาการออฟฟิศ ซินโดรมด้วยตัวเองง่ายๆ 5 ท่า สำหรับ 5 วัน เริ่มจากเช้าวันจันทร์ ผศ.วิศาล แนะนำให้เหยียดกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และไหล่ โดยใช้มือไพล่ไว้ทางด้านหลัง เน้นให้เคลื่อนไหวมากกว่าเกร็งค้าง จะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดตัวได้ ขณะที่วันอังคาร ให้นั่งหลังตรง ใช้มือทั้งสองข้างจับข้อศอกของอีกข้างไว้ เหยียดกล้ามเนื้อข้างลำตัวสลับด้านกัน อาจใช้หนังสือหนาประมาณ 5 นิ้ว รองไว้ใต้ที่นั่งได้ ท่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่นั่งโต๊ะทำงานนานๆ เมื่อออกกำลังแล้วจะช่วยให้สบายมากขึ้น ต่อกันที่วันพุธ ช่วยบริหารมือให้กับคนที่ต้องใช้คีย์บอร์ดหรือใช้เมาส์นานๆ โดยการใช้มือทั้งสองข้างคล้องไว้ด้วยกัน และเหยียดข้อมือไปทั้งแขน จากนั้นปล่อยมือจากกัน กำมือเข้าออก แบมือขึ้นลง และขยับมือซ้ายขวา นายแพทย์วิศาลเผยว่า สำหรับวันพฤหัสบดี ให้ยืนขึ้น นำขาเหยียดพาดไว้กับเก้าอี้ ให้ตึงทั้งกล้ามเนื้อต้นขา […]

10 วิธีทำให้นอนหลับสบาย

การนอนหลับถือเป็นกิจกรรมที่สำหรับของเรา เราใช้ชวิตครึ่งหนึ่งด้วยการนอนหลับใครๆ ก็รู้ว่าการนอนหลับช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเราลองมาใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้กันนะครับ 1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย 2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก 3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า 4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน 5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้ 6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง 7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน 8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรดอะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น 9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ […]

มนุษย์คอมพิวเตอร์อย่างชะล่าใจ! 8วิธีรักษาสายตาที่คุณห้ามพลาด

ทุกวันนี้เราแทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าจะทำงานอะไร คอมพิวเตอร์ถือเป็นอุปกรณ์ที่ถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการทำงานเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะทำงาน เล่น พักผ่อน ใช้ชีวิต คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทสำคัญที่ทำให้หลายๆอย่างง่ายขึ้นมาก บางคนต้องทำงาน จ้องหน้าคอมไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง ซึ่งถือว่านานมาก แต่ก็หาทางเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าไม่ใช้ งานก็ไม่เดิน หารู้ไหมว่า สายตาของเรานั้นถูกทำร้ายอย่างไม่รู้ตัว บางคนสายตาสั้นลง บางคนปวดตา บางคนปวดหัว ก็มาจากสาเหตุเพราะจอคอมพิวเตอร์นี่แหละ สิ่งที่จำเป็นที่สุดของมนุษย์หน้าคอมฯที่ต้องทำเพื่อรักษาสายตาเรานั้น หลักๆคือ "ลดความจ้าของแสง" และ "ขยายตัวหนังสือให้ใหญ่ขึ้น" เพื่อลดการเพ่งของสายตา ให้ทำงานหนักน้อยลง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อายุเยอะหรือมีปัญหาเรื่องสายตาเสียก่อนถึงจะทำ 8 วิธีต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่อยากให้มนุษย์หน้าคอมฯนำไปปฏิตามเป็นอย่างมาก เพราะในเมื่อการจะให้ใช้เวลากับคอมน้อยลง คงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการชะลอการทำร้ายสายตาให้ช้าลง ทำให้สายตาเรารู้สึกสบายมากขึ้นเมื่อจ้องหน้าจอ และที่สำคัญ มันง่ายที่เราจะปฏิบัติตาม… 1. แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หน้าจอคือต้นตอของปัญหาทำให้เกิดปัญหาของสายตา ดังนั้นการปรับความสว่างและความเข้มของหน้าจอจึงเป็นใจความหลักของการแก้ปัญหา โดยส่วนใหญ่แล้วนั้น หน้าจอเราจะมีวิธีการปรับค่าความสว่าง ความเข้ม และสีให้อยู่ในระดับพอดีและรักษาสายตาไว้อยู่แล้ว หากไม่มี กูเกิ้ลเป็นที่พึ่งของมวลมนุษยชาติตามเคย แต่หลักๆแล้วนั้นการปรับให้แสงของหน้าจออยู่ในระดับที่ไม่อ่อน ไม่จ้า และไม่ฉูดฉาดจนเกินไป จะช่วยรักษาสายตาได้ดี 2. ลงทุนสักนิด ปัจจุบันมีแว่นตาที่ผลิตมาเพื่อกรองแสงจากหน้าจอโดยเฉพาะ […]

อาหารป้องกันไข้หวัด

เว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ได้นำเสนออาหารง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด ในเครดิตและข้อมูลว่าผ่านการวิจัยจากทีมแพทย์ของมหาวิทยาลัยดังๆ มาแล้วทั้งนั้น น้ำมะนาว คือ สุดยอดเครื่องดื่มที่สามารถลดอาการเจ็บคอและเสมหะในลำคอได้เป็นอย่างดี ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น และใส่น้ำเชื่อมเล็กน้อย สามารถช่วยลดอาการเจ็บคอ และละลายเสมหะได้ดีเยี่ยม และยังมีวิตามินซี ที่ช่วยป้องกันโรคหวัดได้อีกด้วย น้ำขิง จะช่วยฆ่าเชื้อโรคเชื้อไวรัสต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคหวัดและไข้หวัดในร่างกายเราได้ และเป็นยาแก้ปวดท้องได้อีกด้วย เราสามารถใช้ขิงสด 2 หัว นำมาต้มกับน้ำ 500 ซีซ๊. ต้มประมาณ 15 นาที ก็สามารถนำน้ำขิงมารับประทานได้เลย การใส่ขิงลงไปในอ่างอาบน้ำ ไอน้ำที่ผสมน้ำขิงนั้น จะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองของร่างกายให้ทำงานได้ดี กระเทียม กระเทียมมีคุณสมบัติช่วยป้องกันและรักษาเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ นักวิจัยในอังกฤษพบว่ากระเทียมสามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการโรคหวัดได้ดียิ่งขึ้น น้ำมันละหุ่ง  ไอระเหยจากน้ำมันละหุ่งที่อยู่บนหน้าอกของเราขณะนอนหลับ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ปอดของเราทำงานดีขึ้น การใช้น้ำมันละหุ่งนวดเบาๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวและวางบนหน้าอก จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ส้มและผลไม้ต่างๆ  การวิจัยพบว่า การดื่มน้ำส้มคั้นสดๆ ทุกวัน ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคหวัดและไข้หวัดได้มากกว่า 25% และการได้รับวิตามินซี 1,000 มก. ทุก 6 ชั่วโมงช่วยรักษาอาการโรคหวัดและไข้หวัดได้เป็นอย่างดี   ที่มา: […]

เตือนภัยการใช้หูฟัง

หูฟัง คืออุปกรณ์ที่ใช้ต่อเชื่อมระหว่างเครื่องบันทึกเสียงชนิดต่างๆ มาสู่หูของผู้ที่ต้องการฟังเสียง ซึ่งส่วนใหญ่คือเสียงเพลง โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ป้องกันไม่ให้เสียงเพลงไปรบกวนผู้อื่นที่อยู่ในรัศมีของเสียง แต่ผู้ใช้ในปัจจุบันนี้ต่างใช้งานด้วยวัตถุประสงค์ที่สวนทาง กล่าวคือ มักจะใช้เพื่อป้องกันไม่ให้มีเสียงอื่นๆจากภายนอก เข้ามารบกวนการฟังเพลงของตนเองมากกว่า หูฟัง ได้รับความนิยมแพร่หลายมากในยุคเดียวกันกับเครื่องบันทึกเสียงแบบพกพา หรือซาวนด์อะเบาท์ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในยุคที่โด่งดังของเครื่องบันทึกเสียงและได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคของเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กแบบดิจิตอล จากยุคนั้นมาจนถึงยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ครองโลก หูฟังจึงแทบจะกลายเป็นอวัยวะเพิ่มเสริมจากอวัยวะปกติของคนทั่วไป เพราะไม่ว่าจะนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์, ระหว่างการเดินทางด้วยพาหนะในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเดินเท้าบนท้องถนน หรือแม้แต่ขณะที่ออกกำลังกายอยู่ก็จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า "หูฟัง" เสียบจุกติดรูหูอยู่ตลอดเวลา ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเป็นการทำให้เพลิดเพลินและคลายเครียดได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำเตือนออกมาตลอดเวลาถึงอันตรายจากการใช้หูฟัง เช่น การที่ใช้หูฟังและเปิดเสียงที่ดังเกินกว่าหูปกติจะรับได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้ประสาทหูเสื่อม จนถึงขั้นทำให้เกิดอาการหูตึงขึ้นมาได้ การใช้หูฟังจึงไม่ควรเปิดเสียงดังเกินไป และเมื่อใช้ไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ต้องถอดหูฟังออกเพื่อพักประสาทหูเอาไว้บ้าง แต่อันตรายที่แท้จริงของการเสียบหูฟังติดเอาไว้ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่ออยู่นอกสถานที่ส่วนตัวก็คือ การเสียสมาธิหรือทำให้ประสาทสัมผัสติดอยู่กับหูฟัง จนไม่สามารถรับรู้ว่ามีอันตรายหรือมีคนร้าย กำลังจ้องหาจังหวะเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์หรือร่างกายอยู่ในละแวกใกล้เคียง เพราะเสียงที่ได้รับจากหูฟังทำให้สัญชาตญาณระวังภัย ซึ่งมีอยู่ในทุกตัวคนหมดประสิทธิภาพลงไป ดังที่เคยเกิดขึ้นและเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนอันตรายอีกรูปแบบหนึ่งที่มีผลมาจากการใช้หูฟังอย่างไม่ถูกต้อง คือ อันตรายที่เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นบนถนนหรือบนทางเท้า เพราะคนที่เสียบหูฟังอยู่จะไม่ได้ยินเสียงแตรรถหรือเสียงคนตะโกนเตือน รวมทั้งอาจจะเพลิดเพลินกับสิ่งที่รับฟังจนเหม่อลอยเดินลงไปในเขตพื้นที่อันตราย หูฟังในปัจจุบันนี้มีประสิทธิภาพดีมาก ทั้งในด้านของประสิทธิภาพการกระจายเสียง และมีขีดความสามารถในการป้องกันไม่ให้เสียงจากภายนอกเข้ามารบกวนการฟังได้ดี แต่คนที่ใช้หูฟัง ไม่ว่าจะเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อความบันเทิงอื่นใด ก็ควรศึกษาวิธีการใช้หูฟังที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยแก่ประสาทหู และแก่ร่างกาย รวมทั้งทรัพย์สินของตัวเองด้วย   […]

รู้จักการแก้ปัญหา เมื่อจิตใจสงบ

ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ความเครียดในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ยังช่วยให้คนเราเกิดความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตอีกด้วย แต่หากความเครียดที่มากจนเกินไปรวมถึงความเครียดที่สะสมไว้เป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของคนเราได้เช่นกัน การพูดคุยเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยระบายความเครียดที่ทำได้ง่ายและยังนำไปสู่ความเข้าใจถึงสาเหตุ และอาจช่วยให้มองเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถคลายเครียดได้ด้วยการออกกำลังกาย วาดรูป เล่นดนตรี ทำสมาธิ สวดมนต์ รวมถึงการอาบน้ำและพักผ่อนให้สบายก็จะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น ความเครียดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่สามารถผ่อนคลายได้ หากเราไม่มัวคิดวกวนถึงปัญหาที่เราประสบอยู่แต่ให้หาหนทางระบายออก เพื่อลดความกังวลที่เกิดขึ้น จากนั้นค่อยหาทางออกเมื่อจิตใจสงบลง แล้วเราจะมองเห็นทางแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญาของตัวเรา     ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด โดยนฤภัค ฤธาทิพย์ กรมสุขภาพจิต

ขับขี่ไม่ใส่หมวกกันน๊อคอันตราย 9.5 เท่า

ผู้ใช้รถจักรยาน 2 ล้อและมอเตอร์ไซค์ คงจะระวังตัวขึ้นมาบ้าง ถ้าหากจะทราบว่าหากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่ไม่สวมหมวกนิรภัยจะได้รับอันตรายหนักและรุนแรงกว่าผู้สวมหมวกถึง 9.5 เท่า คณะวิจัยความปลอดภัยบนท้องถนน และสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยโมนาชของอังกฤษ ได้ศึกษาเปรียบเทียบอันตรายของการเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างผู้ที่ใช้หมวกกันน็อกกับศีรษะเปล่า พบว่าผู้ที่ไม่ใช้หมวกจะได้รับอันตรายหนักกว่า 9.5 เท่า ทั้งยังจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ กะโหลก และสมองรุนแรงกว่ากันมาก “การค้นพบของเรายืนยันว่าการใช้หมวกที่ได้รับมาตรฐาน จะช่วยป้องกันอันตราย ไม่ว่าจะล้มในท่าไหนได้ดีกว่า” ดร.แอนดรูว์ แมคอินทอช ผู้ทดสอบ กล่าวว่า “เราพบว่าหมวกจะช่วยป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการชนอย่างแรงจนถึงแรงที่สุด เทียบได้เท่ากับการตกจากที่สูง 1.5 เมตร ด้วยความเร็วชั่วโมงละ 25 กม.”     ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  

1 2 3 4 5