ข่าวสุขภาพ

ยาปฏิชีวนะรักษาไม่ได้ทุกการอักเสบ

การอักเสบ เป็นผลจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอม หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกาย ก่อให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และอาจมีไข้อาการคอแดง เจ็บคอหรือคออักเสบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ คือ 1.ติดเชื้อไวรัส (พบบ่อยที่สุด) 2.ติดเชื้อแบคทีเรีย (พบได้น้อยกว่าร้อยละ 20) 3.สาเหตุอื่นๆ เช่น ภูมิแพ้ การใช้เสียงมาก สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ดังนั้นถ้ามีคอแดง เจ็บคอ คออักเสบจากเชื้อไวรัส หรือจากสาเหตุอื่นๆ ก็ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะการอักเสบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ใช้รักษาอาการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่ได้รักษาอาการอักเสบจากเชื้อไวรัส เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือการอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ ดังนั้นการเรียก “ยาปฏิชีวนะ” ว่า “ยาแก้อักเสบ” จึงไม่ถูกต้อง เพราะทำให้เข้าใจผิดว่า ทุกครั้งที่มีการอักเสบไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ก็ต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษาทั้งหมด ซึ่งอันตรายมาก เพราะอาการอักเสบที่เป็นอยู่ก็ไม่หาย แต่ยังเสี่ยงกับผลข้างเคียงของยา แพ้ยา และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น มาถึงตรงนี้แล้วหลายท่านคงได้รับความรู้เรื่องยาปฏิชีวนะไปพอสมควร น่าจะทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อป่วยเป็นหวัดไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะก็หายป่วยได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพของตนเองล้วนเป็นเรื่องจำเป็นที่จะทำให้เรารอดพ้นจากการเจ็บป่วย ที่สำคัญและพึงระลึกไว้เสมอ คือ ต้องปรับพฤติกรรมตัวเองไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ดั่งคำที่ว่า […]

เตือนห้ามกินยาพาราเซตามอล ครั้งละ 2 เม็ด

คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล กำหนดรูปแบบฉลากยา 11 รายการ ให้เครือข่ายโรงพยาบาลกว่า 50 แห่ง นำไปปรับใช้กับระบบของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง โดยยกกรณีการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดของคนไทยมาเป็นตัวอย่าง และย้ำห้ามรับประทานยาชนิดนี้ครั้งละ 2 เม็ด กินยาพาราเซตามอลครั้งละ 2 เม็ด เมื่อมีอาการปวดหัวหรือเป็นไข้ เป็นความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่มนปัจจุบัน ที่เข้าใจว่าจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ ซึ่งขัดกับหลักเกณฑ์การใช้ยาชนิดนี้ ที่กำหนดว่าห้ามรับประทานเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งยาพาราเซตามอล 1 เม็ด เท่ากับ 500 มิลลิกรัม หากดูฉลากยาพาราเซตามอลข้างขวด ที่ระบุว่า รับประทานได้ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้คนไทยกินยาชนิดนี้มากเกินไป คือสูงถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล จึงเห็นว่า ต้องกำหนดให้แพทย์สั่งจ่ายยาพาราเซตามอลกับผู้ป่วยเพศหญิง จำนวน 1 เม็ด รับประทานทุก 6 ชั่วโมง ส่วนผู้ป่วยชายให้พิจารณาเป็นกรณีไป และให้เขียนกำกับบนฉลากยาด้วยว่า “ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลเกินวันละ 8 […]

ปวดหลังป้องกันได้โดยปรับพฤติกรรม

ปัญหาเรื่องอาการปวดหลังนับว่าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดเนื่องมาจากกระบวนการเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังและบริเวณข้อต่อของกระดูกสันหลัง ในวัยหนุ่มสาวหมอนรองกระดูกทำหน้าที่ในการลดแรงกระแทกระหว่างกระดูกสันหลังในแต่ละระดับ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นหมอนรองกระดูกจะเกิดการเสื่อม ปริมาณนํ้าที่อยู่ภายในหมอนรองกระดูกจะลดปริมาณลง ทำให้ความยืดหยุ่นและการทำงานของหมอนรองกระดูกไม่ดี ร่วมกับการเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลัง ปัจจัยในเรื่องของนํ้าหนักร่างกายก็มีผลเป็นอย่างมาก ในคนที่มีนํ้าหนักมากจะทำให้ข้อต่อกระดูกสันหลัง และหมอนรองกระดูกสันหลังรับนํ้าหนักมากกว่าปกติจึงมีผลทำให้อุบัติการณ์ในการปวดหลังเพิ่มมากขึ้นในผู้ที่มีนํ้าหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้เรื่องของพฤติ กรรมต่าง ๆ ของคนไทยทั้งในเรื่องของการนั่ง การนอน การทำงาน ก็จะมีผลโดยตรงกับอาการปวดหลัง วันนี้ผมก็อยากแนะนำวิธีการบางประการในการหลีกเลี่ยงความ เสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลัง พฤติกรรมที่ควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง และป้องกันอาการปวดหลังได้แก่ 1. การนั่ง ไม่ควรนั่งกับพื้น ทั้งในท่านั่งขัดสมาธิ คุกเข่า พับเพียบ เพราะการนั่งกับพื้นจะทำให้นํ้าหนักส่วนใหญ่ไปลงที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว ทำให้กระดูกหลังรับนํ้าหนักมากและทำให้ปวดหลังเพิ่มมากขึ้น หลีกเลี่ยงการนั่งเก้าอี้ตํ่า เพราะการนั่งเก้าอี้ตํ่า ๆ มีลักษณะคล้ายกับการนั่งพื้น จะทำให้มีอาการปวดมากขึ้น และควรนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิงอย่างถูกวิธีคือนั่งให้ชิดขอบในของเก้าอี้โดยหลังไม่โก่งและให้หลังชิดพนักพิง ไม่ควรนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิงหลัง 2. การยกของ อย่าก้มลงยกของเพราะกล้ามเนื้อหลังจะเป็นส่วนออกแรง ทำให้เกิดอาการอักเสบ ฉีกขาดได้ โดยควรย่อเข่าลงนั่ง ยกของให้ชิดตัว แล้วลุกด้วยกำลังขา 3. การทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ การนั่งหลังโก่ง นั่งบิด ๆ นั่งก้มมองจอคอมพิวเตอร์ เพราะเป็นการเพิ่มแรงกระทำต่อกระดูกหลังมากที่สุด วิธีการนั่งใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง คือ ต้องนั่งหลังตรง วางเท้าให้ให้ราบไปกับพื้นทั้ง […]

ทานปลามีประโยชน์ช่วยป้องกัยโรคข้ออักเสบ

การรับประทานปลาเป็นประจำ จะสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะการทานปลามันๆ จะสามารถช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบได้อีกด้วย ส่วนปลาที่นำมารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล เพียงแค่ทานปลาเป็นประจำอาทิตย์ละครั้ง จะช่วยลดการเกิดโรคข้ออักเสบ เนื่องจากการทานปลาเป็นประจำ ร่างกายของเรายังจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง โอเมก้า-3 เพราะสามารถช่วยปกป้องหัวใจและสมองให้มีสุขภาพดีอีกด้วย และที่สำคัญการทานปลายังสามารถช่วยต้านทานการอักเสบ และช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบได้อีกด้วยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงมีวารสาร ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับ โรคข้ออักเสบออกมาว่า การที่รับประทานปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ทานปลาให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ1 ครั้ง ร่างกายจะได้รับการป้องกันโรคได้อีกด้วยค่ะ ซึ่งสามารถช่วยได้มาก แต่ถ้าหากว่าทานปลามันๆเข้ามาในร่างกาย ภายในหนึ่งอาทิตย์ โดยการทานเนื้อปลา 4 วัน ร่างกายจะได้รับการป้องกันได้ประมาณกึ่งหนึ่งเลยเชียวล่ะค่ะ เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มาจากเนื้อปลาเข้ามาช่วยดูแลสุขภาพร่างกาย การทานปลานอกจากจะดีต่อร่างกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าการทานอาหารเสริมเข้ามาในร่างกายจะสามารถช่วยได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปลานำมารับประทานเป็นอาหารเสริม แต่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อร่างกายจากการทานปลานั้น จึงควรทานปลาสดๆ แล้วนำมาประกอบอาหารเพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารมาช่วยดูแลบำรุงร่างกายจากการทานปลา   ขอบคุณที่มา : http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/general_knowledge/16561/

หมอวรวิทย์ รพ.อุ้มผางขอรับบริจาคยาเหลือทิ้ง แก้ปัญหาแบกรับรักษาคนไร้สถานะที่ยังไม่เข้ากองทุน

รพ.อุ้มผาง เดินสาย รพ.ใหญ่ ขอความร่วมมือรับบริจาค “ยาเหลือ” ช่วย รพ.ประหยัดค่ายาแสนบาทต่อเดือน เผยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยาโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดัน และยาลดไขมัน ช่วยลดรายจ่าย รพ. แก้ปัญหา รพ.ขาดทุน พร้อมระบุ รพ.อุ้มผาง ประสบปัญหางบประมาณต่อเนื่อง แม้มีกองทุนคนไร้สถานะหนุน เหตุมีคนไร้สถานะในพื้นที่ถูกขึ้นทะเบียนเพียง 5-6 พันคน รพ.ยังคงรับภาระดูแล 2-3 หมื่นคน นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก กล่าวว่า พื้นที่ จ.ตาก ถือเป็นพื้นที่พิเศษ เนื่องจากเป็นพื้นที่ซึ่งมีกลุ่มคนไร้สถานะค่อนข้างมาก อาศัยอยู่ตามแนวชาย แม้ว่าจะอยู่ในประเทศไทยมานาน แต่ไม่ได้รับรองสิทธิคนไทย ด้วยเหตุนี้ในการเข้ารักษาพยาบาลจึงไม่มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นภาระที่โรงพยาบาลต้องดูแล แต่หลังจากมีกองทุนรักษาพยาบาลคนไร้สถานะ ซึ่งเริ่มเมื่อปี 2553 แม้ว่าจะทำให้มีงบประมาณลงมาส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถดูแลคนกลุ่มนี้ในพื้นที่ได้ทั้งหมด ซึ่งที่โรงพยาบาลอุ้มผางปัจจุบันมีคนไร้สถานะที่ขึ้นทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลกองทุนคนไร้สถานะหรือรอพิสูจน์สัญชาติ 5-6 พันคน แต่ยังมีกลุ่มคนไร้สถานะที่ยังไม่ได้รับสิทธินี้อีก 2-3 หมื่นคน ทำให้โรงพยาบาลอุ้มผางยังคงต้องประสบปัญหางบประมาณไม่เพียงพอต่อเนื่อง นพ.วรวิทย์ กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมานอกจากประหยัดงบประมาณแล้ว ยังต้องใช้วิธีของบประมาณเพิ่มเติมจากทางจังหวัดในการเกลี่ยเงินช่วยเหลือ […]

หินปูนเกาะกระดูก ไม่แก่ก็เป็นได้

คนวัยทำงานอาจจะยังไม่คุ้นกับ อาการมีหินปูนเกาะกระดูกเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่อาการนี้มักเกิดกับผู้สูงอายุ แต่หากคุณเป็นคนห่างเหินการออกกำลังกาย วันๆ เอาแต่นั่งนอนเฉย คุณอาจเป็นคนหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดหินปูนเกาะกระดูกได้ หินปูนเกาะกระดูกเกิดได้เมื่อร่างกายของเราเสื่อมสภาพ หรือเกิดความเสียหาย เช่น แตก หัก ซึ่งร่ายกายจะดึงแคลเซียมไปซ่อมแซมกระดูกส่วนที่เสื่อม จนอาจพอกพูนผิดธรรมชาติ ทำให้กระดูกบริเวณนั้นเสียรูปทรง ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า Bony Spur หรือ Osteophyte แปลว่า “กระดูกงอก” ซึ่งเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ กระดูกแขน ขา และข้อต่อต่างๆ เป็นต้น อาการกระดูกงอกจะอันตรายก็ต่อเมื่อ หินปูนที่เกาะนั้นไปเบียดบังเนื้อเยื่อหรือทับเส้นประสาทที่สำคัญ ทำให้คนที่เป็นมีอาการเจ็บปวด ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ลำบาก และหากปล่อยไว้นานอาการเจ็บปวดนั้นจะเรื้อรังและรักษาไม่หาย      เมื่อพบว่ามีอาการปวดกระดูกส่วนใดก็ตามให้สังเกตการงอก ปูด โปนของกระดูกส่วนนั้นๆ ร่วมด้วย และหากสงสัยควรรีบปรึกษาแพทย์ ซึ่งวิธีรักษาหินปูนเกาะกระดูก ทำได้ 3 วิธี คือ 1.ผ่าตัด 2.ให้ยาต้านการอักเสบ และ 3.กายภาพบำบัด โดยจะรักษาตามอาการ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ผู้ทำการรักษา อย่างไรก็ตาม วิธีลดความเสี่ยงของอาการหินปูนเกาะกระดูก คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และออกกำลังกายเป็นประจำ […]

นอนดูทีวี-ติดสมาร์ทโฟน เสี่ยงคอเอียงไม่รู้ตัว

หมอเตือนคนชอบนอนดูทีวี เล่นแท็บเล็ต-สมาร์ทโฟน ส่งผลเดินคอเอียงไม่รู้ตัว ตาพล่ามัว กล้ามเนื้อคออักเสบ แนะผู้ที่มีอาการตาแห้ง แสบตา หลังดูจอมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์ ไม่จำเป็นต้องหยอดตา แต่ควรดื่มน้ำ และลดการจ้องมากเกินความจำเป็น… เมื่อวันที่ 23 มี.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี กล่าวว่า ขณะนี้การใช้พฤติกรรมประจำวันของประชาชนน่าห่วง ผู้ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่จำกัด มักชอบนอนดูทีวี ซึ่งทีวีจะตั้งอยู่สูงกว่า การดูทีวีในลักษณะนี้ อาจก่อปัญหาโดยไม่รู้ตัว การนอนดูทีวีที่ทีวีอยู่ข้างบน เป็นท่าที่ไม่ถูก จะมีผลเสียต่อกล้ามเนื้อที่คอ กระดูกคอ ทำให้เอ็นคออักเสบ ทั้งนี้ หากมีพฤติกรรมนี้ไปนานๆ จะเกิดอาการปวดต้นคอ กล้ามเนื้อเกร็งและอักเสบ ซึ่งท่าที่ดีที่สุดในการดูทีวี คือ ท่าที่สบายที่สุด เช่น นั่งเอกเขนก และทีวีต้องอยู่ในระดับสายตา “เรื่องที่น่าห่วงอีกเรื่อง คือขณะนี้คนส่วนใหญ่มักอยู่กับเครื่องมือสื่อสารเกือบตลอดเวลา โดยเฉพาะแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน และชอบนอนตะแคงดูข้อมูลหรือภาพหรือนอนตะแคงกดข้อความส่งไลน์ การนอนดูข้างเดียว มือจะถือข้างเดียวติดต่อกันนานๆ อาจจะมีผลต่อบุคลิกไม่รู้ตัว เด็กบางคนจะเดินคอเอียงๆ เคยพบมาแล้ว เป็นเด็กอายุ 7 ขวบ เดินคอเอียง […]

5 วิธีดูแลตัวเองของคนนอนดึก

คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความจำเป็นต้องนอนดึก เรามาดูวิธีปฏิบัติตัวเมื่อยามนอนดึก กันดีกว่า 1. ง่วงก็นอนเลย ทันทีที่ร่างกายรู้สึกง่วง แต่อยากจะเล่นเฟซต่อ ขอร้องว่าอย่าฝืน แนะนำว่าให้นอนเลย ที่สำคัญควรจะนอนให้ได้อย่างน้อย 4 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน เพราะเป็นจำนวนเวลาที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างพอเหมาะ 2. ออกกำลังกายเล็ก ๆ เมื่อตื่น บางคนตื่นปุ๊บหยิบมือถือมาเช็กเฟซบุ๊กก่อนเลย ใจเย็น ๆ ออกกำลังกายเบา ๆ กันก่อนไหม เหมือนวอร์มอัพร่างกายให้ตื่นตัว แต่อย่าถึงขั้นวิ่ง 100 เมตร หรือฟิตเนสจริงจัง แค่ลุกนั่งหรือวิดพื้นนิดหน่อยเป็นพอ แล้ววันนั้นทั้งวันคุณจะสดชื่นกว่าที่เคย 3. กินอาหารที่มีประโยชน์ ยิ่งนอนดึกยิ่งทำให้สมองล้า เรายิ่งต้องกินอาหารที่บำรุงสมอง อย่างอาหารที่มีโคลีน (Choline) ช่วยป้องกันความจำเสื่อม พบได้ง่ายในถั่วเหลือง ไข่แดง และเนื้อสีขาว เช่น เต้าหู้ เนื้อปลา อกไก่ และไข่ขาว ซึ่งช่วยสร้าง "เคมีสมอง" ที่จำเป็นสำหรับคนที่นอนดึก ส่วนไข่แดงมีไบโอติน (Biotin) ที่ช่วยบำรุงสมอง และกาบ้า (GABA) ที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี มีอยู่ในข้าวกล้องงอกและธัญพืช […]

ปาร์ตี้ปิ้งย่างสังสรรค์เซลล์มะเร็ง

การรับประทานอาหารปิ้งย่าง โดยเฉพาะเนื้อหมู เนื้อวัว เป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมของชาวไทยเรา โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสังสรรค์ ปิ้งย่างไปพลางๆ ดื่มเบียร์แกล้มไปเพลินๆ เหมาะกับงานเฮฮาปาร์ตี้เป็นที่สุด แต่คุณรู้ไหมว่า การรับประทานบุฟเฟต์ปิ้งย่างนั้น ส่งผลให้เซลล์อะไรในร่างกายยินดีปรีดาบ้าง เซลล์แรกที่ร้องไชโยโห่ฮิ้วเวลาที่คุณป้อนอาหารปิ้งย่างเข้าปาก คือ เซลล์ไขมัน เพราะอาหารปิ้งย่างจัดเป็นอาหารแคลอรี่สูง แถมเป็นแคลอรี่จากไขมัน ทั้งจากไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์ และน้ำมันที่ใช้ประกอบอาหาร หนำซ้ำคนส่วนใหญ่ยังมักรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มอย่าง น้ำอัดลม เบียร์ เหล้า เพิ่มแคลอรี่ที่ผ่านเข้าปากมากขึ้นไปอีก บรรยากาศในการรับประทานแบบเฮฮาปาร์ตี้ ก็มักจะส่งผลให้รับประทานแบบขาดสติ ไม่คุมปริมาณอาหาร การสังสรรค์บุฟเฟต์ปิ้งย่างเป็นประจำ จึงส่งต่อความอ้วนอย่างแน่นอน เซลล์ต่อมาที่เฮฮาไปด้วยคือ เซลล์มะเร็ง เพราะอาหารปิ้งย่างเป็นแหล่งของตัวกระตุ้นเซลล์มะเร็งชั้นดีสองตัว หนึ่งคือสารในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons หรือ PAH) พบในควันที่เกิดจากไขมันสัตว์ที่โดนความร้อนสูง โดยพบว่ามีความสามารถในการก่อมะเร็งได้ไม่แพ้ควันบุหรี่เลยทีเดียว สองคือสารในกลุ่มเอมีนส์ (Heteocyclic amines) พบมากในเนื้อแดงที่ถูกความร้อนสูง และมีงานวิจัยพบว่าเป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารปิ้งย่าง แต่ไม่อยากอ้วนและเสี่ยงต่อมะเร็ง แนะนำให้ปฏิบัติตามทิปดังนี้ค่ะ • เลือกสถานที่ปิ้งย่างที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หรือมีเครื่องดูดควันคุณภาพสูง เพราะการสูดดมควันที่เกิดขึ้นก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณได้เช่นกัน • เน้นรับประทานเป็นเนื้อปลา หรือไก่ไม่ติดหนัง ซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่าเนื้อหมูและเนื้อวัว […]

กระเช้าปีใหม่ : ควรเลี่ยง ควรเลือก และตัวลวง

การให้กระเช้าที่ประกอบด้วยอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เป็นหนึ่งในตัวเลือกของขวัญปีใหม่ยอดนิยม โดยเฉพาะการมอบให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้านายที่นับถือ เพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึง ยิ่งพิถีพิถันเลือกแต่ของที่ดีต่อสุขภาพจัดลงในกระเช้า ก็จะยิ่งเป็นการแสดงความใส่ใจและปรารถนาดีที่มีให้แก่ผู้รับ มาดูกันค่ะว่ากระเช้าสุขภาพที่ดี ควรมีและไม่ควรมีอะไรบ้าง ของควรเลี่ยงสำหรับกระเช้า • สุรา มีการห้ามนำสุรามาใส่ในกระเช้าของขวัญอยู่แล้ว การมอบกระเช้าที่มีสุราตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางกระเช้านั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่ปรารถนาดีต่อผู้รับ เพราะสุราที่หยิบยื่นให้นั้น จะส่งผลให้ผู้รับเสี่ยงต่อโรคภัย ต่างๆ เช่น ตับแข็ง ไขมันพอกตับ ความดันโลหิตสูง อ้วนลงพุง ตับอ่อนอักเสบ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ ฯลฯ กระเช้าเหล่านี้จึงจัดได้ว่าเป็น กระเช้าอัปมงคล! • ผลไม้กระป๋อง ด้วยกรรมวิธีการผลิตต่างๆ มักส่งผลให้ผลไม้กระป๋องสูญเสียวิตามินอย่าง วิตามินซี วิตามินบีไป ไม่ได้คุณค่าอาหารเท่ากับผลไม้สดๆ และผลไม้กระป๋องส่วนใหญ่จะอุดมไปด้วยน้ำเชื่อม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงได้หากรับประทานเป็นประจำ การให้ผลไม้กระป๋องจึงแสดงถึงความไม่ใส่ใจที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ • คุ้กกี้ ช็อกโกแล็ต ขนมกรุบกรอบ นอกจากจะเป็นแหล่งของน้ำตาลแล้ว ขนมหวานที่บรรจุหีบห่อทั้งหลายยังเป็นแหล่งของไขมันทรานส์ ไขมันที่อันตรายต่อสุขภาพที่สุด พบว่าไขมันทรานส์เพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือด การให้คุ้กกี้หรือขนมกรุบกรอบจึงไม่ต่างกับการประสงค์ร้ายต่อสุขภาพหัวใจผู้รับ • ครีมเทียม หรือ กาแฟ 3 in 1 […]

1 2 3 4