ตอนที่ 88 ขมิ้นอ่อนกับขิงแก่ใครแน่กว่ากัน

• บทความมติชนสุดสัปดาห์
ที่จั่วหัวข้างต้น ก็ไม่คิดจะเปรียบเทียบอะไรจริงจังระหว่างสมุนไพรสองชนิดว่าใครแน่กว่ากัน
เพียงแต่อินเทร็นด์ตามกระแสการเมืองไทยยุคนี้ที่ชอบเปรียบเทียบ
รัฐบาลกับ สมุนไพร นับว่าเก๋ไก๋ไปอีกแบบที่หันกลับมานิยม
ภูมิปัญญาไทยดีกว่าเปรียบเทียบอะไร เป็นภาษาไทต่างด้าว
ท้าวต่างแดน เช่น รัฐบาลติดเทอร์โบ รัฐมนตรีดิจิตอล หรือปลัดฮิตาชิ
สำหรับวงการแพทย์แผนไทย สมุนไพรทุกชนิดไม่ว่าอ่อน
กลางหรือแก่ก็มีคุณทางยาทั้งสิ้น
ถ้ารู้จักวิธีใช้ ยกเว้นพวกวัวแก่ๆ ที่นิยมเฉพาะหญ้าอ่อนๆเท่านั้น
ตรงนี้ไม่ได้ว่ารัฐบาลประเทศใด
เป็นรัฐบาลวัวแก่น่ะ
ทั้งขิงและขมิ้นนั้นมีสรรพคุณร่วมที่เหมือนกัน คือช่วยขับลม แก้ท้องอืด
ท้องเฟ้อ แต่ในช่วงที่
อากาศหนาวเย็นมากในยามค่ำคืนเช่นนี้จะขอกล่าวถึงการกินขิงเพื่อขับเหงื่อ คลายหนาว
และบรรเทาอาการปวดข้อ เนื่องจากความหนาวเข้ากระดูก
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ
ขิงไทยตัวจริงเสียก่อนยังไม่ต้องพูดถึงความแก่อ่อนพรรษา
อันว่าขิงนั้นแบ่งตามลักษณะสัณฐาน
มี 2 ชนิดคือ
ขิงเผ็ดหรือขิงเล็ก ลักษณะมีข้อถี่ แง่งขิงไม่ใหญ่ผิวสีเหลืองเข้ม
ต้นขึ้นเบียดชิดกันมาก เนื้อแข็งมีเสี้ยนมาก รสชาติเผ็ดจัดเจือขม
ขนาดแง่งอ่อนๆก็ยังเผ็ด ขิงชนิดนี้แหละที่หมอไทย
นิยมใช้ประกอบรักษาโรค
ขิงหยวกหรือขิงใหญ่ ขนาดของแง่งใหญ่ ผิวสีขาวอมเหลืองอ่อน มีข้อห่าง
เนื้อละเอียดไม่มีเสี้ยน รสเผ็ดน้อยกว่าขิงเล็กมาก
เพราะมีรสหวานแทรกจึงเหมาะสำหรับใช้ปรุงอาหารและเครื่องดื่ม
ดังนั้นขึ้นชื่อว่าขิงแล้วจึงไม่สำคัญว่าแก่หรืออ่อน
แต่สำคัญว่าเล็กหรือใหญ่ พวกขิงใหญ่ๆโตๆนั้น
ไม่เท่าไรสิบหัวยังเอามาร่างรัฐธรรมนูญ ( ฮะ แฮ่ม ขอโทษ )
ยังเอามาทำยาไม่ได้ สู้ขิงเล็กฤทธิ์แรงไม่ได้ ดังนั้นจะประมาทขิงเล็ก
หรือ ประชาชนคนเล็กคนน้อยไม่ได้
ในที่นี้จะบอกกล่าวการปรุงขิง 2 ตำรับ คือเป็นตำรับยาและตำรับเครื่องดื่ม
ตำรับยาขิง แก้ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อยตามตัว
เนื่องจากขิงเล็กมีสารจินเจอร์รอลส์ ( Gingerols ) หลายชนิด
ที่ช่วยบรรเทาอาการปวด
เนื่องจากข้อเสื่อม ลดการอักเสบ และบวมของข้อได้ผลดี
จึงมีการนำขิงมาปรุงเป็นตำรับยา
บรรเทาอาการดังกล่าว ดังนี้
1. ขิงแห้ง 1 บาท เท่ากับ 15 กรัม
2. ลูกกระวาน 1 บาท เท่ากับ 15 กรัม
3. การบูร 1 สลึง เท่ากับ 3.75 กรัม
4. พิมเสน 1 สลึง เท่ากับ 3.75 กรัม
5. เกร็ดสะระแน่หรือเมนทอลแท้ 1 สลึง เท่ากับ 3.75 กรัม
เอาขิงแห้งและกระวานใส่ครกตำให้แหลก นำมาผสมกับ
ตัวยาที่เหลือห่อยาทั้งหมดด้วยผ้าขาวบาง
ใส่โหลดองด้วยน้ำสุก (น้ำที่ต้มเดือดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น) ประมาณ 1-1.5 ลิตร
แช่ไว้ประมาณ 1 วัน ก็นำยามาดื่มได้ครั้งละครึ่งแก้ว วั
นละ 3 เวลาก่อนอาหาร หากน้ำยาพร่องลงไป ก็เติมได้อีก
จนกว่ายาจะจืดจาง
ตำรับเครื่องดื่มน้ำขิง ช่วยขับเหงื่อ ขับลม คลายหนาว
ตำรับนี้ใช้ขิงบ้านแง่งโตๆ ใช้ปริมาณเท่าไรก็ได้ สมมุติว่าใช้ 250 กรัม
ล้างขิงให้สะอาด
ไม่ต้องปลอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆพอนำไปใส่ในเครื่องปั่นให้ละเอียด จากนั้น
ก็คั้นเอาน้ำขิง
ออกมาได้เท่าไร ก็ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน
แล้วคนให้เข้ากันก็จะได้น้ำขิงสำเร็จรูป เก็บแช่ในตู้เย็นได้นานนับเดือน
เพราะขิงมีสารกันบูดในตัวอยู่แล้วยิ่งนำมาผสมกับน้ำผึ้ง
ก็ยิ่งเก็บได้นาน
เมื่อต้องการเครื่องดื่มน้ำขิง ก็เพียงแต่ตวงน้ำขิงดองน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ( ประมาณ 30 ซีซี)
ผสมน้ำสุก 1 แก้ว ( ประมาณ 200 ซีซี ) คนให้เข้ากันดื่มได้เลย ยามค่ำคืนอากาศหนาว
ก็ดื่มน้ำขิงตำรับนี้สักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้อบอุ่นตลอดคืน
หรือสตรีหลังคลอดบุตร
จะใช้เครื่องดื่มน้ำขิงสูตรนี้ช่วยบำรุงน้ำนมก็ดี
สูตร ขิงทั้ง 2 สูตรนี้ กำลังเหมาะกับบรรยากาศของบ้านเมือง
ที่มีผู้คนเริ่มปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดหลัง ปวดเอวมากขึ้น
และยังได้ขิงไว้ต้านลมหนาวด้วย
ขอตบท้ายด้วยภาษิตของปราชญ์แห่งอายุรเวทว่า “
ไม่มีอักขระใดที่ใช้เป็นคำมนตร์ไม่ได้ ไม่มีต้นไม้ใดที่ใช้ทำยาไม่ได้
ไม่มีมนุษย์ใดที่เป็นคนดีไม่ได้ ” ดังนั้นจึงป่วยการที่จะมาเถียงกันว่า
ขมิ้นอ่อนกับขิงแก่ใครแน่กว่ากัน.

ปรกติก็ทานข้าวราดผัดขิง  น้ำขิงใส่เครื่องน้ำเต้าหู้ บ่อยๆ
http://www.thaihof.org/content